ความเป็นโมฆะบางส่วน (Severability)

 

สำหรับใครหลายคนที่ในการทำงานหรือธุรกิจที่ทำอยู่จำเป็นต้องพึ่งพาการทำสัญญาในการทำธุรกรรมด้วย ก็คงเคยเห็นข้อกำหนดเกี่ยวกับความเป็นโมฆะบางส่วนผ่านๆ ตากันบ้าง ซึ่งปกติแล้วมักจะเป็นข้อกำหนดทั่วไปที่จะอยู่ช่วงท้ายๆ ของสัญญาถ้าสัญญาฉบับนั้นมีโครงสร้างที่เป็นปกติ

เนื้อหาสำคัญในข้อนั้นก็ไม่มีอะไรซับซ้อนมากนัก ใจความสำคัญของข้อกำหนดนี้ก็จะมีลักษณะทำนองที่ว่า ถ้าข้อกำหนดในสัญญาข้อใดข้อหนึ่งเป็นโมฆะหรือใช้บังคับไม่ได้ตามกฎหมาย ว่าแต่ทำไมถึงต้องมีข้อกำหนดนี้ในสัญญาด้วยละ และถ้าไม่มีข้อกำหนดนี้ในสัญญาจะเกิดอะไรขึ้น

คำตอบจะอยู่ในประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173 ซึ่งกำหนดหลักการไว้ว่า หากส่วนใดส่วนหนึ่งของนิติกรรมเป็นโมฆะ นิติกรรมนั้นจะตกเป็นโมฆะทั้งหมดทันที แต่ถ้าพิจารณาจากสถานการณ์แล้ว คู่สัญญาทั้งสองฝ่ายตั้งใจจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะสามารถแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะได้ นิติกรรมนั้นจะยังคงมีผลบังคับใช้ในส่วนที่ไม่เป็นโมฆะได้ 

ซึ่งเป็นปัญหาเวลามีข้อพิพาทเกิดขึ้น ที่จะต้องพิสูจน์ว่าคู่สัญญาทั้งสองฝ่ายมีความตั้งใจจะให้ส่วนที่ไม่เป็นโมฆะมีผลบังคับใช้ต่อไป จึงสาเหตุที่ว่า นักกกฎหมายมักที่จะใส่ข้อกำหนดเรื่องความเป็นโมฆะบางส่วนลงไปในสัญญา เพื่อให้ชัดเจนไปเลยว่าคู่สัญญาต้องการแยกข้อกำหนดส่วนที่ไม่เป็นโมฆะสามารถแยกออกจากส่วนที่เป็นโมฆะ และส่วนที่เหลือของสัญญายังมีัผลบังคับใช้อยู่ คู่สัญญาจะได้ไม่ต้องมาโต้เถียงกันหรือประเด็นนี้เป็นข้อต่อสู้ในภายหลัง

อ้างอิง: ประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ มาตรา 173

เขียนและเรียบเรียงโดย รักพล สังษิณาวัตร 
(ทนายความรักพล)
Email: rukphons@gmail.com
Tel: 095-390-8245


0 ความคิดเห็น